Facebook Fanpage
Twitter Feed
ตระเวนข่าว ออนไลน์

อัปเดตทุกสถานการณ์อ่าน “ตระเวนข่าวออนไลน์”

อาชญากรรม การเมือง ต่างประเทศ กีฬา บันเทิง ภูมิภาค เศรษฐกิจ ไอที ข่าวอื่นๆ
เกี่ยวกับเรา

นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ จัดแถลงข่าวกรณีของ อันหยูชิง หรือ Charlene An ดาราสาวไต้หวัน

นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ จัดแถลงข่าวกรณีของ อันหยูชิง หรือ Charlene An ดาราสาวไต้หวันกับกลุ่มเพื่อนที่ระบุว่าถูกตำรวจตั้งด่านรีดไถเงิน 27,000 บาท โดยก่อนแถลงชูวิทย์ได้ตีปี๊บ และกล่าวระหว่างเดินว่าจะนำปี๊บดังกล่าวไปฝากให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคลุมศรีษะไว้ เพื่อซ่อนจากข้อเท็จจริงที่จะเปิดเผย

นาน ชูวิทย์ กล่าวว่า การตั้งด่านของเจ้าหน้าที่มีการทำเป็นขบวนการ จัดสรรแบ่งส่วนให้กับผู้ที่ปฏิบัติงาน การตั้งด่านนี้ทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวยิ่งเฉพาะในช่วงนี้ที่พึ่งมีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด 19

จากนี้แทนที่นักท่องเที่ยวจะกลัวโจรผู้ร้าย กลับต้องมากลัวตำรวจที่ควรจะดูแลความปลอดภัยของพวกเขา ทั้งนี้ชูวิทย์เปิดภาพที่ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้าใส่มือของอันหยูชิง พร้อมกล่าวว่าเป็นความจริงที่อันหยูชิงใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่วันที่เกิดเรื่องเธอไม่ได้นำบุหรี่ไฟฟ้ามา

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ถ้าถึงวันนี้ตำรวจต้องการจะคืนเงิน 27,000 บาทให้กลุ่มผู้เสียหายตนก็เชื่อว่าเขาจะไม่รับแล้ว เพราะทั้งหมดไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งที่ผ่านมายังถูกเจ้าหน้าที่ใส่ร้ายมาตลอด
เปรียบตำรวจไม่ดีเป็นนิ้วร้ายที่ต้องตัดทิ้ง เชื่อว่าวันนี้ไม่มีนิ้วเหลือให้ตัดแล้ว

ต่อมาเวลา 14.20 ชูวิทย์ได้เชิญ สกาย ชาวสิงค์โปร์เพื่อนของอันหยูชิง มาร่วมแถลงข่าว โดย สกาย กล่าวว่า ถ้าไม่ไว้ใจชูวิทย์ก็คงไม่เดินทางมา วันที่เกิดเรื่องตนกับกลุ่มเพื่อนรวมทั้งอันหยูชิง ไปเที่ยวงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม หลังจากนั้นระหว่างเดินทางกลับโรงแรมที่พักซึ่งอยู่บริเวณถนนรัชดาภิเษก เจอตำรวจตั้งด่านใช้ไฟฉายส่องเข้ามาในรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่

จากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำด่าน บอกให้รถจอดเข้าข้างทางให้ทุกคนในรถลงมาจากนั้นเข้ามมาจับตามตัว ค้นกระเป๋า ให้นำเอกสาร หนังสือเดินทางออกมาแสดง รวมทั้งให้ถอดรองเท้า ซึ่งในวันดังกล่าวตนไม่ได้นำพาสปอร์ตออกมาจากที่พัก

สกาย กล่าวต่อว่า จากการตรวจตามตัวเจ้าหน้าที่พบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน เจ้าหน้าที่ถามต่อว่ามาจากประเทศไหน ตอนนั้นทางกลุ่มเองเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมตำรวจทำเป็นเรื่องใหญ่ สั่งห้ามโทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร หรือถ่ายรูป ในเหตุการณ์ฝั่งตนมีเพียงตนเองที่พูดไทยได้ นอกนั้นในกลุ่มพูดไม่ได้

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่พูดขึ้นว่า อย่ากวนตีน ระหว่างที่ตนเองถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องตรวจมากมาย เพราะตนและเพื่อนไม่ได้ทำผิดกฎหมายแน่นอน พร้อมอธิบายว่าตามปกติแล้วการเดินทางเข้าประเทศไทยของคนสิงค์โปร์ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่ายกเว้นกรณีที่อยู่อาศัยเกินกว่า 10 กว่าวันขึ้นไป ส่วนตัวที่เดินทางมาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมเพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่และอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 5 เป็นวันที่กำหนดเดินทางกลับ

ส่วนเล่มหนังสือเดินทาง หรือ พาสปอร์ตที่เจ้าหน้าที่พยายามเรียกดู ตนได้ตอบไปว่าเอกสารต่างๆอยู่ที่ที่พัก ถ้าจะตรวจขอเวลากลับไปนำมาแสดง ซึ่งตนมีเพียงรูปถ่ายพาสปอร์ต แต่ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ฟังและพยายามแย้งว่าต้องแสดงเอกสารทันที และต้องเป็นตัวจริง ห้ามไปไหน และพยายามแจ้งว่าการที่พกพาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิด

สกาย จึงได้ตอบเจ้าหน้าที่ไปว่าตนและเพื่อนไม่ทราบว่าผิดกฎหมาย พร้อมถามกลับว่าถ้าผิดกฎหมายจริงทำไมถึงมีขายได้ทั่วไป เพราะบุหรี่ไฟฟ้าที่ตำรวจยึดตนก็ซื้อมาจากตลาดที่ห้วยขวางเทอเรส และเห็นคนไทยใช้ตามปกติอยู่ ไม่มีใครบอกว่าผิด

เมื่ออธิบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเสร็จตอนนั้นเจ้าหน้าที่เริ่มมีทีท่าทีโมโห และบอกว่าถ้าอย่างนั้นทั้งหมดต้องไปสถานีตำรวจและจะต้องติดคุกอย่างน้อยอีก 2 วัน แม้ตนจะแย้งไปว่าถึงกำหนดเดินทางกลับแล้ว เมื่อเจรจาได้ระยะหนึ่งทางเจ้าหน้าที่พาไปหาเจ้าหน้าที่อีกรายที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจและแจกแจงให้กับตนเองฟังว่าบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8,000 บาทส่วนที่ไม่พบพาสปอร์ตอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท

โดยตำรวจที่เข้ามาพูดคุยเรื่องเงินมี 3 นาย โดยนายแรก เป็นชายไม่ได้สวมเครื่องแบบตำรวย สวมแจ็คเกต มีหนวดเครา คนนี้ทำหน้าที่ในการเรียกและรับเงินจากนายสกาย และเก็บเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ส่วนตำรวจนายที่ 2 รูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้าน ทำหน้าที่บังกล้อง ส่วนตำรวจนายที่ 3 เป็นคนรูปร่างผอม ใส่ผ้าคลุมหน้า โดยจะเข้ามาร่วมรับฟังการพูดคุยด้วย

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่หนึ่งรายยื่นบุหรี่ไฟฟ้ามาให้อันหยูชิงถือพร้อมถ่ายภาพ ตอนนั้นทั้งกลุ่มเครียดมาก เพราะไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนและทั้งหมดอยากออกจากจุดนั้นเร็ว รวมถึอยากออกจากประเทศไทย ไม่อยากอยู่ต่อเพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก

สกาย กล่าวว่าวันที่เกิดเรื่องตนมีเงินติดตัว 30,000 บาท ตอนที่ให้เงินทางตำรวจพาเดินไปที่มุมหนึ่งของด่านตรวจ จากนั้นให้ตนเองนับเงินให้เรียบร้อยและให้ในกลุ่มของตนมายืนบังมุมกล้อง เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยเจ้าหน้าที่เรียกแท็กซี่ให้และให้บอกแท็กซี่ว่าจะไปไหนต่อ

หลังผ่านเหตุการณ์นั้นมาในกลุ่มไม่ค่อยอยากพูดคุยกันเพราะทุกคนยังเครียด แต่ยืนยันว่าไม่ได้เมาเหมือนที่มีคนออกมาพูด และพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่แล้ว ส่วนตัวคิดว่าเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผล ถ้าอยากจับก็จะต้องมีเหตุผล ถ้าสงสัยอะไรก็ต้องพูดคุย แต่สิ่งที่เกิดตำรวจไม่มีเหตุผลอะไรและบอกว่าต้องไปสถานีตำรวจอย่างเดียว ทำไมต้องทำแบบนี้

สำหรับเงินที่จ่ายไปสกายยืนยันว่าตำรวจกลุ่มนั้นแสดงท่าทีและพูดจาในลักษณะบีบบังคับให้จ่ายเงินตนเองไม่ได้เสนอให้ ทั้งนี้เงิน 30,000 บาทที่จ่ายไปตั้งใจว่าจะซื้อของฝากให้ครอบครัวแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อเพราะตำรวจเหลือเงินให้ติดตัว 3,000 บาท

สกาย กล่าวว่าหลังจากกลับมาในกลุ่มมีการพูดคุยกันและคิดว่าถ้าตอนนั้นมีทางเลือกก็คงไม่ให้เงินแต่ให้ไปเพราะตำรวจจะพาไปที่สถานีตำรวจอย่างเดียว

ขณะเดียวกันชูวิทย์ ได้จัดทำแฟ้มรายชื่อพร้อมรูปภาพ ของตำรวจ สังกัดสถานีตำรวจนครบาล (สน.)ห้วยขวาง มาจำนวนหนึ่ง และเปิดให้สกายดู 2 รูปภาพ แล้วถามว่า จดจำใครได้บ้าง
ซึ่งสกาย ดูรูปภาพตำรวจแล้ว ได้พยักหน้า พร้อมกับดูภาพตำรวจทั้ง 2 นาย

ต่อมาประมาณ 15.30 น. สกายออกจากการแถลง พร้อมกับที่พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ในการสอบปากคำวันนี้ด้วย โดยพล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่า ขอเวลาขึ้นไปพบกับสกาย พยานสำคัญก่อน ซึ่งวันนี้ได้ให้คณะกรรมการและทีมพนักงานสอบสวน 4-5 นาย เข้ามาร่วมสอบปากคำพยานอย่างละเอียดและครอบคลุมทุกประเด็น

Total
0
Shares
Previous Article

ทนายโป้งพาผู้เสียหาย "เสริมดั้ง"<br>เข้าแจ้งความ ปคบ.

Next Article

บิ๊กโรงเรียน” ย่านบางชันรีดเงินผู้รับจ้างเหมาโครงการอาหารกลางวันเด็กนักเรียน

Related Posts

ผบช.ภ7.เดินทางมาตรวจเยี่ยม “สภ.ธงชัยบำรุงขวัญกำลังใจข้าราชการตำรวจ​โดยให้ยึดหลัก “ขยัน อดทน ดำรงตนอย่างมีเกียรติ”

รอง .ผบ.ตร.ลงพื้นที่ตรวจการจราจรในช่วงเปิดภาคการศึกษา ประจำปีการศึกษา 256๒ และเปิดโครงการ “ส่งน้องถึงโรงเรียน”