

นักธุรกิจน้ำยางพารา ร้องตำรวจสอบสวนกลาง โวยพนักงานสอบสวนกองปราบเป่าสำนวนคดีอดีตเลขารองประธานสภาตุ๋น 25 ล้าน
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 3 ก.พ. ที่ ศูนย์รับเรื่อวราวร้องทุกข์กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) น.ส.ช่อฉัตร โตชูวงศ์ อายุ 55 ปี นักธุรกิจสาวไฮโซ เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เพื่อร้องขอความเป็นธรรมกรณีพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีที่เคยแจ้งเอาผิด อดีตผู้ช่วยเลขาประธานสภา หลอกเงิน 25 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เหตุเพราะเร่งปิดสำนวนคดีเร็วผิดปกติไม่ยอมรับหลักฐานสำคัญ โดยมี
ร.ต.อ.ธงชัย พาณิชอำนวย รอง สว.สอบสวน กก.6 บก.ปปป. เวรอำนวยการเป็นตัวแทนรับมอบหนังสือดังกล่าว
น.ส.ช่อฉัตร กล่าวว่า สำหรับที่ไปที่มาของเรื่องดังกล่าว เริ่มจากก่อนหน้าตนได้ถูกอดีตผู้ช่วยเลขาฯ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร รายนี้หลอกเงินจำนวน 25 ล้านบาท จากการอ้างว่าสามารถประสานให้มีการยกเลิกออกใบรับรองมาตรฐานวัสดุน้ำยางพาราผสมสารเพิ่มของ
เอกชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อจะนำไปใช้เข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างถนนยางของรัฐบาล ซึ่งเป็นลักษณะผูกขาด ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ต้องเสียเวลาไปไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ ก่อนจะมาทราบภายหลังว่าเป็นการหลอกลวงเอาเงิน จึงเข้าแจ้งความเอาผิดอดีตผู้ช่วยเลขาฯ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรท่านนี้ไว้ที่ กก.1 บก.ป.
น.ส.ช่อฉัตร กล่าวต่อว่า แต่หลังจากที่เข้าแจ้งความแล้ว ตนเองกลับไม่ได้รับความเป็นธรรมทางคดีเท่าที่ควร เนื่องจากมองว่าพนักงานสอบสวนกองปราบพยายามเร่งปิดสำนวนคดีผิดปกติ ไม่ยอมรับพยานหลักฐานสำคัญที่ตนนำมามอบให้เพิ่มรวมเข้าไปอยู่ในสำนวน ทั้งที่พยานหลักฐานที่ตนนำมามอบให้เพิ่มเติมนั้นเป็นหลักฐานสำคัญที่มีน้ำหนักและแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์เจตนาฉ้อโกงทำเป็นขบวนการ อาทิ หลักฐานที่คู่กรณีนัดเคลียร์นำเงินมาคืน และมีการผัดผ่อนเป็นระยะเพื่อให้หมดอายุความ อ้างเพียงว่าปิดสำนวนไปแล้ว ก่อนที่ต่อมาจะมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์
น.ส.ช่อฉัตร กล่าวต่อว่า หากพนักงานสอบสวนทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาก็ควรพิจารณาหลักฐานของตน เพราะประวัติผู้ที่ถูกกล่าวหามีคดียาวเป็นหางว่าว ถูกศาลตัดสินติดคุกในข้อหาปลันทรัพย์มาแล้ว และยังถูกร้องอีกหลายคดี อีกทั้งตนยังทราบว่า พนักงานสอบสวนคนดังกล่าวมีการนำพยานบุคคลซึ่งเป็นอดีตลูกจ้างของตน ที่ถูกดำเนินคดีลักทรัพย์หลายครั้ง และแอบอ้างเอาชื่อบริษัทไปขาย ตนเคยฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50 ล้าน มาเป็นพยานในสำนวนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมองว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร จึงตัดสินใจเดินทางมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในวันนี้เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม
น.ส.ช่อฉัตร กล่าวอีกด้วยว่า สำหรับคดีดังกล่าวตนเคยนำเรื่องไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญกฎหมายต่างๆ ต่างเห็นพ้องเหมือนกันว่า อดีตผู้ช่วยเลขาฯรองประธานสภา มีเจตนาฉ้อโกงตนจริง และการที่พนักงานสอบสวนอ้างว่าไม่มีสัญญาจ้างนั้น จึงเป็นเหตุผลที่รับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะหลักฐานที่ผู้ถูกกล่าวหานัดจะคืนงินให้ย่อมแสดงให้เห็นซัดเจนแล้วว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ทำงานตามที่ตกลงกันไว้รวมถึงยังมีการต่อรองขอลดจำนวนเงินที่จะคืนให้ตนอีกด้วย จึงอยากให้ทาง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.ช่วยทำการตรวจสอบข้อท็จจริงให้กระจ่างว่าเหตุใดพนักงานสอบสวนถึงได้รีบเร่งปิดสำนวนและไม่ยอมรับเอกสารหลักฐานต่างๆของของตนเข้าไปประกอบในสำนวน มีนัยอะไรแอบแฝงหรือไม่ หากข้อเท็จจริงไม่ปรากฎตนจะแจ้งเอาผิดพนักงานสอบสวนท่านนี้ในความผิดตามมาตรา 157